“ทรัมป์” ขึ้นภาษีกลุ่มอาหาร กระทบส่งออก 1.7 แสนล้านบาท

หอการค้าหวั่นส่งออกอาหารสะเทือน 1.7 แสนล้านบาท หากทรัมป์ขึ้นภาษี เม.ย.

     ที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ถนนราชบพิตร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสถาบันอาหาร ได้ร่วมกันเปิดแถลงข่าวถึงสถานการณ์ธุรกิจเกษตรและอาหารในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต

นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผอ.สถาบันอาหาร กล่าวว่า การส่งออกสินค้าอาหารไทยในปี 2567 มีมูลค่า 1,638,445 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.3% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากความต้องการเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่ฟื้นตัว

ในปี 2025,

     คาดว่าการส่งออกสินค้าอาหารจะมีมูลค่า 1,750,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.8% เนื่องจากปริมาณวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ทั้งมันสำปะหลัง อ้อย สับปะรด และมะพร้าว ขณะที่ค่าเงินบาทปีนี้อาจเคลื่อนไหว 33-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งเอื้อต่อการส่งออก โดยสินค้าส่งออกด่าวเด่นปีนี้คืออาหารสัตว์เลี้ยง ซอสและเครื่องปรุงรส อาหารพร้อมรับประทาน และผลิตภัณฑ์มะพร้าว

อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยปีนี้ยังคงมีความเสี่ยงสูง จากนโยบายจัดเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐที่จะนำมาใช้กับประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐ ซึ่งรวมทั้งไทย ซึ่งอาจจะทำให้การส่งออกปีนี้ไม่เป็นไปตามเป้าคาดการณ์.

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์, รองประธานกรรมการหอการค้าไทย, กล่าวว่า

     “ไทยมีความเสี่ยงอาจถูกขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าอาหาร เพราะปีที่แล้วไทยมียอดเกินดุลการค้าสินค้าอาหารกับสหรัฐ 128,230 ล้านบาท ราว 10% ของยอดเกินดุลรวมของไทย รองจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ โดยปีก่อนไทยมีการส่งออกไปสหรัฐ 172,380 ล้านบาท แต่นำเข้าเพียง 44,150 ล้านบาท“

นายพจน์กล่าวถึงกลุ่มสินค้าที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีมีจำนวน 38 รายการ ซึ่งมีมูลค่าส่งออกไปยังสหรัฐ 172,380 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ตามระดับความรุนแรงของผลกระทบ

สินค้าที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีกลุ่มอาหารได้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

  • กลุ่มที่ 1:.กระทบมากที่สุดจำนวน 18 รายการคือ กุ้งแช่แข็ง ปลาหมึกแช่แข็ง ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ปลาทูน่ากระป๋อง กุ้งปรุงแต่ง ข้าวพร้อมทาน ขนมปังกรอบ บะหมี่ พาสต้า น้ำมะพร้าว น้ำสับปะรด ผัก ผลไม้กระป๋อง กะทิสำเร็จรูป ซอส เครื่องปรุง และอาหารสัตว์เลี้ยง
  • กลุ่มที่ 2:กระทบปานกลางจำนวน 10 รายการคือ มะพร้าว ทุเรียน มะขาม แป้งมัน แป้งข้าว กลูโคส น้ำเชื่อมกลูโคส น้ำตาลมะพร้าว เครื่องดื่มที่มีน้ำมะพร้าวหรือน้ำผลไม้ผสม และเครื่องดื่มชูกำลัง
  • กลุ่มที่ 3:กระทบน้อยจำนวน 10 รายการคือ แมลง-จิ้งหรีด น้ำผึ้ง ถั่วเขียว กระเทียม ขิง พริกไทย เครื่องเทศอื่น ๆ น้ำมันรำข้าว น้ำมะพร้าว และขนมที่ทำจากช็อกโกแลต

นายพจน์กล่าวว่า ในสถานการปัจจุบันนี้,

     ปัจจุบันประเทศไทยมีประชาชนที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรและอาหารมากถึง 30 ล้านคน ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยจะต้องเร่งเจรจาต่อรองกับสหรัฐ โดยเฉพาะการเปิดตลาดสินค้าบางรายการให้กับสหรัฐเพิ่มเติม แต่จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรในประเทศ

โดยกลุ่มสินค้าที่สหรัฐอาจต้องการให้ไทยนำเข้าเพิ่มขึ้น เช่น ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ปลาทะเล นมผง วัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งในกลุ่มนี้สามารถทำได้จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรของไทย เนื่องจากเป็นเป็นสินค้าจำเป็นต่อบริโภคและใช้ในการแปรรูปของไทย

แต่กลุ่มสินค้าที่น่าเป็นห่วงที่สหรัฐพยายามกดดันให้ทุกประเทศเปิดตลาดมากขึ้น คือกลุ่มผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ซึ่งจะกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ โดยที่ผ่านมาสหรัฐได้พยายามเปิดตลาดเนื้อสัตว์ในหลายประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในอาเซียน รวมถึงเอเชียตะวันออก

     อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทยยังคงมีปัญหาภายในรุมเร้า ทำให้สามารถมีกำลังการผลิตได้เพียง 25% เท่านั้น เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบและแรงงานอย่างหนัก

ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งเปิดนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำมาแปรรูปเพื่อการส่งออกโดยเร็ว อาทิ ข้าวโพด ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของอาหารสัตว์, สัตว์น้ำ เพื่อแปรรูปส่งออก รวมทั้งต้องเร่งลดต้นทุนให้กับภาคการผลิต เช่น ลดค่าน้ำ ค่าไฟ และนำ AI มาใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตให้กับสินค้าเกษตรไทย.

อ่านต่อได้ที่: https://www.prachachat.net/economy/news