‘อาหารอัพไซเคิล’ แปรรูปวัตถุดิบถูกทิ้ง เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ลด ‘ขยะอาหาร’

อาหารอัพไซเคิลคือการนำวัตถุดิบที่ปกติจะถูกทิ้ง เช่น ผลผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือผลพลอยได้จากอุตสาหกรรม มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ที่มีคุณค่า เพื่อลดปัญหาขยะอาหาร แนวคิดนี้ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ก๊าซมีเทน ซึ่งเกิดจากขยะอาหารที่ถูกนำไปฝังกลบ  มีการสร้างมาตรฐานสากล “Upcycled Certified” โดยสมาคมอาหารอัพไซเคิล (UFA) เพื่อรับรองผลิตภัณฑ์และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคในด้านความโปร่งใสและความยั่งยืน

     ทุกปีอาหารหลายพันล้านตันถูกทิ้งทั่วโลก ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมหาศาลต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ท่ามกลางความท้าทายนี้ แนวคิดปฏิวัติวงการกำลังได้รับความสนใจ นั่นคือ “การอัพไซเคิลอาหาร” (Upcycled Food) 

การอัพไซเคิลอาหาร เป็นกระบวนการเปลี่ยนวัตถุดิบเหลือใช้ ที่ปรกติแล้วจะต้องกลายเป็นขยะ ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและมีคุณค่าทางโภชนาการ ไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้ที่ขายไม่ออกเพียงเพราะผิวไม่สวย ครอบคลุมถึงผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมอาหาร เช่น เมล็ดพืชที่ใช้แล้วจากการต้มเบียร์ หรือเนื้อผลไม้ที่เหลือจากการคั้นน้ำ สินค้าเหล่านี้จะถูกนำมารีไซเคิลเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ ๆ และทั้งหมดนี้ดำเนินการผ่านห่วงโซ่อุปทานที่ตรวจสอบได้เพื่อความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับ

สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐ (USEPA) ประเมินว่าวิธีนี้มีประสิทธิภาพเทียบเท่าการบริจาคหรือแจกจ่ายอาหารให้กับร้านอาหารและศูนย์พักพิง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากระบบอาหาร เพราะท้ายที่สุดแล้ว อาหารที่ถูกทิ้งสามารถก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่รุนแรง เช่น ก๊าซมีเทน หากถูกทิ้งให้เน่าเสียในหลุมฝังกลบ

     

     นอกจากนี้ อแมนดา เอินบริง, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสมาคมอัพไซเคิลอาหาร (UFA) เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเคลื่อนไหวนี้ และเป็นวิธีที่สามารถปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอาหาร โดย UFA ได้กำหนดนิยามร่วมกันสำหรับอาหารอัพไซเคิล และเปิดตัว Upcycled Certified มาตรฐานการรับรองระดับโลกฉบับแรกที่รับรองความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์อัพไซเคิล

“Upcycled Certified ช่วยให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาเลือก มีความยั่งยืนและก่อให้เกิดผลกระทบ พร้อมทั้งสนับสนุนบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความรับผิดชอบ” เอินบริงกล่าว

เอินบริงกล่าวเสริมว่า “เราได้กำหนดแนวทางร่วมกันในการนิยามอาหารอัพไซเคิลว่า อาหารอัพไซเคิลใช้ส่วนผสมที่มนุษย์อาจไม่ได้บริโภค จัดหาและผลิตผ่านห่วงโซ่อุปทานที่ตรวจสอบได้ และมีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม” โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรต่าง ๆ เช่น คณะนิติศาสตร์ฮาร์วาร์ด, ReFED, มหาวิทยาลัยเดร็กเซิล, องค์การกองทุนสัตว์ป่า และสภาป้องกันทรัพยากรธรรมชาติ”

จากข้อมูลของ ReFED พบว่าอาหารที่ผลิตทั่วโลก 30-40% สูญหายหรือถูกทิ้ง ในปี 2023 เฉพาะสหรัฐประเทศเดียวผลิตอาหารส่วนเกิน 91.2 ล้านตัน และส่วนใหญ่กลายเป็นขยะอาหารที่ถูกนำไปฝังกลบ เผา ทิ้งลงท่อระบายน้ำ หรือถูกทิ้งไว้ในไร่นา

ในทำนองเดียวกัน จากข้อมูลของ Project Drawdown องค์กรอิสระด้านสภาพภูมิอากาศ ระบุว่า ขยะอาหารเพียงอย่างเดียวทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกประมาณ 8% พร้อมมีการใช้ทรัพยากรที่สำคัญ เช่น น้ำ พลังงาน และที่ดิน ในการผลิตอาหารอย่างสูญเปล่า 

แต่การอัพไซเคิลจะช่วยให้ทรัพยากรทุกอย่างถูกใช้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น ตั้งแต่น้ำ ปุ๋ย พลังงาน รวมถึงพืชผลเหลือทิ้งที่เกษตรปลูกอยู่แล้ว โดยที่ทั้งหมดจะถูกชุบชีวิตเพื่อนำไปบริโภคอีกครั้ง ไม่ใช่เหลือทิ้ง ขณะเดียวกัน อัพไซเคิลยังช่วยลดปริมาณขยะอาหารที่ส่งไปยังหลุมฝังกลบ นั่นเท่ากับลดการปล่อยก๊าซมีเทน ก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพสูง สามารถยับยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อีกด้วย

 

     การอัพไซเคิลไม่ใช่แค่กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเร่งให้เกิดนวัตกรรมอาหารมากมาย บริษัทต่าง ๆ เช่น Voyage Foods และ Atomo กำลังสร้างนวัตกรรมใหม่ ด้วยช็อกโกแลตและกาแฟปราศจากเมล็ดโกโก้เป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและใช้งานได้จริง ส่วน Blue Stripes เปลี่ยนผลพลอยได้จากโกโก้ให้เป็นส่วนผสมที่เป็นนมิตรต่อผู้บริโภค ซึ่งเป็นการปล็อกศักยภาพใหม่ ๆ ที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์ในการผลิตอาหาร

ทั้งหมดนี้ ต้องขอบคุณนวัตกรรมเทคโนโลยีการอบแห้ง การบด และการแปรรูปช่วยให้เราสามารถผลิตผลิตภัณฑ์อัพไซเคิลที่ปลอดภัย ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารที่เข้มงวด ในขณะเดียวกันก็รักษาคุณค่าทางโภชนาการและคุณภาพที่ดีที่สุด

ขณะเดียวกัน ความตระหนักรู้ของผู้บริโภคเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนกระแสอาหารอัพไซเคิล UFA จึงเดินหน้าให้ความรู้ประชาชนแก่สาธารณชน เกี่ยวกับประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมจากการเลือกผลิตภัณฑ์อัพไซเคิลผ่านแคมเปญต่าง ๆ โดยเน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงบวกของการลดขยะอาหารและนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อัพไซเคิล ตั้งแต่ขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม ไปจนถึงผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง รวมไปถึงครื่องสำอาง

 

     อย่างไรก็ตาม ปริมาณส่วนผสมที่นำกลับมาใช้ใหม่ของผลิตภัณฑ์จะมีผลต่อการรับรองความยั่งยืน แน่นอนว่าส่วนผสมที่นำกลับมาใช้ใหม่ที่สามารถเติมลงในอาหารได้นั้นมีจำกัด ก่อนที่ส่วนผสมเหล่านั้นจะส่งผลต่อสี รสชาติ หรือกลิ่นของผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย สิ่งสำคัญคือต้องรักษาสมดุล

ตามมาตรฐานการรับรองอาหารอัพไซเคิลของสหรัฐ ผลิตภัณฑ์จำเป็นต้องมีส่วนผสมที่นำกลับมาใช้ใหม่อย่างน้อย 10% โดยน้ำหนักจึงจะได้รับการรับรองว่าเป็นอาหารอัพไซเคิล แม้ว่าอาหารอัพไซเคิลจะมีส่วนผสมที่ใช้แล้ว ซึ่งอาจไม่ได้มีต้นทุนมาก แต่ผู้ผลิตมักเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพขนาดเล็กที่มีต้นทุนการผลิตสูง ซึ่งต้องขายในราคาแพง ผู้บริโภคอาจจะตั้งคำถามถึงความคุ้มค่า ไม่อยากจะจ่ายเงินเพิ่ม และตั้งคำถามว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้อัพไซเคิลจริงหรือไม่

วิธีหนึ่งที่จะแก้ปัญหานี้ได้คือ การประเมินวงจรชีวิต ซึ่งเป็นการวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่การผลิตจนถึงการกำจัด ผู้ผลิตสามารถทำเช่นนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและสนับสนุนข้อกล่าวอ้างต่าง ๆ ด้วยหลักฐาน

หากเราต้องการให้อาหารรีไซเคิลแพร่หลายมากขึ้น และลดปริมาณขยะ เราต้องมั่นใจว่าผู้บริโภคจะไม่ถูกหลอก หากผู้บริโภคไว้วางใจ เห็นคุณค่า และเข้าใจผลิตภัณฑ์เหล่านี้ พวกเขาก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในตลาดมากขึ้น

อ่านต่อได้ที่: https://www.bangkokbiznews.com/environment/1203486